วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558
อัจฉรา เอกแสงศรี สวนวิชาการและข้อมูล
อัจฉรา เอกแสงศรี
สวนวิชาการและข้อมูล
การเกิดอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Acquired Immune Deficiency Syndrome - AIDS) หรือโรคเอดส์
เกิดเนื่องจากการติดเชื้อเอชไอวี (Human Immuno-deficiency Virus - HIV) ทำให้ระบบภูมิต้านทาน
ของผู้ป่วยสูญเสียเซลล์ช่วย (helper cell) เป็นผลให้ผู้ป่วยเอดส์ติดเชื้อต่าง ๆ ทั้งเชื้อวัณโรค เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย
และเชื้อไวรัสต่าง ๆ ได้ง่าย ซึ่งในที่สุดผู้ป่วยจะตายเนื่องจากเชื้อต่าง ๆ ที่เรียกกันว่า "เชื้อฉวยโอกาส" เหล่านี้
โดยไม่ได้ตายเพราะตัวเชื้อเอชไอวี เอง
การวิจัยต่าง ๆ ที่มีในปัจจุบันมักมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาแสวงหาตัวยาสังเคราะห์ที่สามารถยับยั้งขั้นตอน
ใดขั้นตอนหนึ่งในวงจรชีวิตของไวรัส ซึ่งแม้จะมีความพยายามมากมายคิดเป็นมูลค่ามหาศาลโดยนักวิจัยทั่วโลก
เพื่อที่จะยับยั้งเอ็นซัยม์ของไวรัสนี้ เช่น เอ็นซัยม์ reverse transcriptase หรือ protease แต่กว่าสิบปีที่ผ่านมายัง
ปรากฏว่าได้ผลน้อยมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับทรัพยากรต่าง ๆ ที่ได้ลงทุนใช้ไปในการวิจัย และยังไม่มียาใด
รักษาโรคเอดส์ให้หายเด็ดขาดได้ การรักษาที่ใช้อนุพันธ์ของนิวคลีโอไซด์ต่าง ๆ ก็ยังทำได้ค่อนข้างจำกัด
เนื่องจากพิษของสารต่าง ๆ เหล่านั้นเอง
เมื่อไม่นานมานี้ ทั่วโลกได้มีความพยายามใช้สมุนไพรที่เคยใช้กันมาแต่โบราณในการรักษาโรคใหม่ ๆ
ที่ยังไม่มียารักษาได้ ในประเทศไทยเราเองอุดมด้วยทรัพยากรพันธุ์พืชนานาชนิด ซึ่งเป็นที่สนใจของผู้วิจัย
ต่าง ๆ ทั่วโลก ในอาการหรือโรคที่เป็นเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น ได้มีการนำสมุนไพรมาใช้กันอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน
แต่การใช้ในโรคที่มีความซับซ้อนขึ้นก็ควรจะเป็นไปได้ โดยมีการศึกษาทดลองใช้ในคนเป็นจำนวนมาก และ
มีการรายงานผลการใช้ยาอย่างเป็นระบบ
สถาบันวิจัยและพัฒนา องค์การเภสัชกรรม ได้พัฒนายาสมุนไพรตำรับ ซึ่งได้มีการใช้ในกลุ่มผู้ติดเชื้อ
และ ผู้ป่วยเอดส์ที่ศูนย์เพื่อนชีวิต จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 โดยเจ้าของสูตรตำรับได้ยินยอมเปิดเผย
ชื่อส่วนประกอบทั้งหมดของสมุนไพรให้แก่สถาบันวิจัยและพัฒนา และสถาบันฯ ได้ใช้เทคนิค และวิธีการ
แผนปัจจุบันทำการสกัดและเตรียมเป็นสูตรตำรับ ตลอดจนถึงควบคุมคุณภาพ เพื่อให้ในแต่ละแคปซูลมีตัวยา
สม่ำเสมอ และมีความสะดวกในการใช้
หลังจากนั้น องค์การเภสัชกรรม โดยกองทุนสนับสนุนการวิจัย ได้ให้ทุนวิจัย ในโครงการวิจัย "โครง
การรักษาผู้ป่วย AIDS โดยใช้สมุนไพร" สำหรับศึกษาผลทางคลินิกในผู้ป่วยโรคเอดส์ อย่างเป็นระบบ เพื่อ
สูตรตำรับนี้ ให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยอย่างกว้างขวางต่อไป
ยาสมุนไพรที่นำมาใช้สำหรับโรคเอดส์นี้เป็นยาสมุนไพร 2 ตำรับ ตำรับแรกเป็นยาผสมระหว่างสาร
สกัดจากสมุนไพร 5 ชนิด ใช้ชื่อทางการค้าว่า เนเชอร์เพล็กซ์ (NATUR- PLEXา) และตำรับที่สองเป็นยา
สมุนไพรเดี่ยวใช้ชื่อทางการค้าว่า คอร์เด็กซ์ (CORDEXา) นอกจากนี้ผู้ป่วยจะได้รับวิตามินรวมเพื่อเสริม
ภาวะโภชนาการ และให้ผู้ป่วย งดใช้ยาประเภทกดระบบภูมิต้านทาน เลือดจากผู้ป่วยจะมีการตรวจนับจำนวน
เซลล์ (CD4) จำนวนเม็ดเลือดขาว วัดการทำงานของตับ ชั่งน้ำหนักผู้ป่วย พร้อมกับบันทึกอาการต่าง ๆ ของ
ผู้ป่วยเป็นระยะ ตลอดการศึกษาทดลองใช้ยานี้ในผู้ป่วย ผลการศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยเอดส์
196 คน ในระยะเวลา 6 เดือน พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถดำเนินชีวิตปกติทำงานได้
และไม่ต้องการผู้ดูแล นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่มาเข้าโครงการ พบว่า ก่อนรับประทานยาสมุนไพรนี้ ผู้ป่วยส่วน
ใหญ่ (93.9 %) ปรากฏกลุ่มอาการต่อไปนี้มากกว่า 1 อาการ ได้แก่ น้ำหนักตัวลด มีตุ่ม-ผื่นคัน ปวดข้อ-ปวดเมื่อย
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ไอ มีไข้ นอนไม่หลับ ฝ้าในช่องปาก ปวดศีรษะ ท้องเสีย กล้ามเนื้อ อ่อนแรง ต่อมน้ำ
เหลืองโต งูสวัด และมีอาการโรคแทรกซ้อน จาก "เชื้อฉวยโอกาส" เช่น เชื้อวัณโรค และเชื้อราต่าง ๆ แต่หลัง
จากผู้ป่วยรับประทานยาสมุนไพรทั้ง 2 ตำรับนี้ ปรากฏว่า อาการโรคแทรกซ้อนเหล่านี้ของผู้ป่วยลดลง และ
ไม่ต้องใช้ยาแผนปัจจุบันในการรักษาอาการแทรกซ้อน ซึ่งยาแผนปัจจุบันเหล่านี้จะก่อให้เกิดอาการข้างเคียง
ที่รุนแรงแก่ผู้ป่วยเอดส์
การรักษาผู้ป่วยเอดส์ โดยใช้ยาแผนปัจจุบัน พบว่า ควรใช้ยาต้านไวรัสเอดส์อย่างน้อย 2 ขนานร่วมกัน
เช่น AZT + ddI, AZT + 3TC, AZT + ddC, d4T + ddI และในบางรายอาจต้องเพิ่มยาต้านไวรัสเอดส์ประเภท
protease inhibitors เช่น Saquinavir, Ritronavir และในรายที่ติดเชื้อฉวยโอกาสก็เพิ่มยาสำหรับแต่ละโรคตาม
อาการ ซึ่งหากคำนวณค่ายาที่ผู้ป่วยเอดส์ต้องใช้คร่าว ๆ จะตกถึงวันละประมาณ 500-1,000 บาทต่อคน ในขณะ
นี้มีผู้ติดเชื้ออยู่ประมาณ 900,000 คน และจำนวนผู้ป่วยเอดส์ทั่วประเทศประมาณ 90,000 คน ดังนั้นหากผู้ป่วย
เอดส์ทุกคนใช้ยาตาม standard therapy แล้ว ประเทศไทยจะต้องจ่ายเงินในการซื้อยาจากต่างประเทศ ถึง 15,000
ล้านบาทต่อปี แม้ว่า องค์การเภสัชกรรมจะเร่งวิจัยยาสำหรับผู้ป่วยเอดส์และสามารถลดราคายาดังกล่าวลงมาได้
กว่า 50 % เช่น AZT, ddI แต่อย่างไรก็ดี เราก็ยังต้องซื้อวัตถุดิบเพื่อมาผลิตยานี้จากต่างประเทศ ขณะที่การใช้ยา
แผนปัจจุบันดังกล่าวนี้ไม่ใช่เป็นการรักษาให้หายขาด เป็นเพียงแต่ชะลอการกระจายตัวของเชื้อไวรัส ประคับ
ประคองชีวิต และยืดอายุของผู้ป่วยออกไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งจากผลการทดลองทางคลินิกเบื้องต้น
ของยาสมุนไพรทั้ง 2 ตำรับนี้ พบว่าสามารถใช้ทดแทนยาแผนปัจจุบันดังกล่าวได้ดี
องค์การเภสัชกรรมจึงหวังว่าผลงานวิจัยชิ้นนี้จะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยเราสามารถพึ่งตน
เองได้ ลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ และผู้ป่วยเอดส์จำนวนมากจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตลอดจนถึง
สามารถใช้สมุนไพรเหล่านี้เป็นพืชเศรษฐกิจเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอีกทางหนึ่งด้วย
เอกสารอ้างอิง
1. นพ.วิชาญ วิทยาศัย และ พญ.ประคอง วิทยาศัย. เวชปฏิบัติในผู้ติดเชื้อเอดส์ พิมพ์ครั้งที่ 2. 2540.
2. กองทุนสนับสนุนการวิจัย. รายงาน "การศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อ/ ผู้ป่วยเอดส์" 2540.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น